28 ก.ย. 2554

[Top 10] ภาษาที่เรียนรู้ยากที่สุดในโลก :D

อันดับที่ 10 Swahili
ภาษา สวาฮีลี (หรือ คิสวาฮีลี) เป็นภาษากลุ่มแบนตูที่พูดอย่างกว้างขวางในแอฟริกาตะวันออก ไม่ว่าจะเป็น แทนซาเนีย เคนยา ยูกันดา รวันดา บุรุนดี คองโก-กินชาซา โซมาเลีย คอโมโรส (รวมมายอต) โมซัมบิก และมาลาวี ภาษาสวาฮีลีเป็นภาษาแม่ของ ชาวสวาฮีลี ซึ่งอาศัยอยู่แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกระหว่างประเทศโซมาเลียตอนใต้ ประเทศโมแซมบิกตอนเหนือ มีคนพูดเป็นภาษาแม่ประมาณ 5 ล้านคนและคนพูดเป็นภาษาที่สองประมาณ 30-50 ล้านคน ภาษาสวาฮีลีได้กลายเป็นภาษาที่ใช้โดยทั่วไปในแอฟริกาตะวันออกและพื้นที่รอบ ๆ ว่ากันว่า การเรียนภาษาสวาฮิลีเป็นสิ่งท้าทายที่สุด


อันดับที่ 9 English
ภาษา อังกฤษ เป็นภาษาตระกูลเจอร์เมนิกตะวันตก มีต้นตระกูลมาจากอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแรกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลาง (lingua franca) เนื่อง จากอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ ซึ่งบางอาชีพต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษมาช่วยประสานงาน ทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายราบรื่นและสำเร็จลงไปได้ด้วยดี สาเหตุที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากโดยรวมเนื่องจาก เป็นภาษาที่ใช้อักษรละตินเป็นอักษรหลักในการเขียน และการสะกดคำหลายคำจะไม่ตรงกับการอ่านออกเสียง ซึ่งทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากภาษาหนึ่งในการเรียน
อันดับที่ 8 Korean
ภาษา เกาหลี เป็นภาษาที่ส่วนใหญ่พูดใน ประเทศเกาหลีใต้ และ ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการ และมีคนชนเผ่าเกาหลีที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนพูดโดยทั่วไป(ใน จังหวัดเหยียนเปียน มณฑลจื๋อหลิน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเกาหลี) ทั่วโลกมีคนพูดภาษาเกาหลี 78 ล้านคน รวมถึงกลุ่มคนในอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล ญี่ปุ่น และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผู้พูดใน ฟิลิปปินส์ ด้วย การจัดตระกูลของภาษาเกาหลีไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่คนส่วนมากมักจะถือเป็นภาษาเอกเทศ นักภาษาศาสตร์บางคนได้จัดกลุ่มให้อยู่ใน ภาษาตระกูลอัลไตอิกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากภาษาเกาหลีมีวจีวิภาคแบบภาษาคำติดต่อ ส่วนวากยสัมพันธ์หรือโครงสร้างประโยคนั้น เป็นแบบประธาน-กรรม-กริยา (SOV) แม้ว่าภาษาเกาหลีจะมีตัวอักษร กับสระเพียงไม่กี่ตัวที่ต้องจำ(อักษร 19 + สระ 21) หากแต่ว่าไวยกรณ์ของเกาหลียากมาก ต้องจำกฎสารพัด กว่าจะเข้าใจและสามารถเขียนและอ่านได้
อันดับที่ 7 German                                                                    ภาษาเยอรมัน หรือด๊อยช์ เป็นภาษากลุ่มเจอร์เมนิกด้านตะวันตก และเป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุดในสหภาพยุโรป ส่วนใหญ่พูดในประเทศเยอรมนี ออสเตรีย ลิกเตนสไตน์ ส่วนมากของสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก แคว้นปกครองตนเองเตรนตีโน-อัลโตอาดีเจในอิตาลี แคว้นทางตะวันออกของเบลเยียม บางส่วนของโรมาเนีย แคว้นอัลซาซและบางส่วนของแคว้นลอร์แรนใน ฝรั่งเศส นอกจากนี้ อาณานิคมเดิมของประเทศเหล่านี้ เช่น นามิเบีย มีประชากรที่พูดภาษาเยอรมันได้พอประมาณ และยังมีชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาเยอรมันในหลายประเทศทางยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย ฮังการี และสโลวีเนีย รวมถึงอเมริกาเหนือ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา) รวมถึงบางประเทศในละตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา และในบราซิล ภาษาเยอรมัน จะว่ายาก..มันก็ยาก เพราะมีการแบ่งเพศในคำนามสิ่งของที่มีอยู่ในโลกนี้ 3 เพศ เช่น เวลา หรือ นาฬิกา นั้นเป็นเพศหญิง เครื่องดื่มที่เป็นแอลกฮอลล์ทุกชนิด ยกเว้นเบียร์ ถือว่าเป็นเพศกลาง เป็นต้น(มันคิดได้ไงว่ะเนี้ย) นอกจากนี้ยังยากตรงไวยากรณ์ เพราะมีข้อยกเว้นมาก และยากที่จะพูดให้คล่องโดยถูกหลักไวยากรณ์ เพราะคำกริยาบางทีก็อยู่ข้างหลังประโยค นอกจากนี้คำกริยาและคุณศัพท์ยังต้องผันตามเพศของคำนามอีก

อันดับที่ 6 Russian

ภาษา รัสเซีย เป็นภาษากลุ่มสลาวิกที่ใช้เป็นภาษาพูดอย่างกว้างขวางที่สุด ภาษารัสเซียจัดอยู่ในกลุ่มอินโด-ยูโรเปียน ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กับภาษาสันสกฤต ภาษากรีก และภาษาละติน รวมไปถึงภาษาในกลุ่มเจอร์เมนิก โรมานซ์ และเคลติก (หรือเซลติก) ยุคใหม่ ตัวอย่างของภาษาทั้งสามกลุ่มนี้ได้แก่ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาไอริชตามลำดับ ส่วนภาษาเขียนนั้นมีหลักฐานยืนยันปรากฏอยู่เริ่มจากคริสต์ศตวรรษที่ 10ในปัจจุบัน ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีการใช้นอกประเทศรัสเซียด้วย มีเอกสารทางวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งตีพิมพ์เป็นภาษารัสเซีย รวมทั้งความรู้ในระดับมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่ง ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีความสำคัญทางการเมืองในยุคที่สหภาพโซเวียตเรือง อำนาจและยังเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่งของสหประชาชาติ และเป็นหนึ่งในภาษาที่ยากต่อการทำความเข้าใจ สับสน วุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเขียนหรือการอ่านออกเสียง
อันดับที่ 5 Japanese
ภาษา ญี่ปุ่น เป็นภาษาทางการ ของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ทั่วโลกราว 130 ล้านคน นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว รัฐอังกาอูร์ สาธารณรัฐปาเลา ได้กำหนดให้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการภาษาหนึ่ง นอกจากนี้ภาษาญี่ปุ่นยังถูกใช้ในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่ย้ายไปอยู่นอกประเทศ นักวิจัยญี่ปุ่น และนักธุรกิจต่าง ๆ คำภาษาญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลมาจากภาษาต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาษาจีน ที่ได้นำมาเผยแพร่มาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อกว่า 1,500 ปีที่แล้ว และตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็ได้มีการยืมคำจากภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาจีนมาใช้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน เช่นคำที่มาจากภาษาดัตช์ สาเหตุที่ภาษานี้มีความยากจนเรียกได้ว่าถึงขั้นพิสดารอันเนื่องมาจากคน ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีพิธีรีตองมาก ดังนั้นคำภาษาญี่ปุ่นจึงอักษรถึง3แบบ แบ่งคำศัพท์สำหรับใช้กับเพื่อน คนในครอบครัว อาจารย์เป็นต้น บางตัวไม่สามารถอธิบายได้ต้องจำเอาเอง ถือว่าเป็นภาษาที่ละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อน ยิ่งเป็นอักษรคันจิยิ่งไปใหญ่ ขนาดคนญี่ปุ่นด้วยกันเองก็แทบแย่เหมือนกัน
อันดับที่ 4 Polish
ภาษาโปแลนด์ คือภาษาทางการของประเทศโปแลนด์ มีต้นกำเนิดมาจากพื้นที่ของโปแลนด์ ในปัจจุบันจากภาษาท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะที่พูดใน Greater Poland และ Lesser Poland ภาษาโปแลนด์เคยเป็นภาษากลาง ในพื้นที่ต่างๆ ของยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เนื่องจากอิทธิพลทางการเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการทหารของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ในปัจจุบันภาษาโปแลนด์ไม่ได้ใช้กันกว้างขวางเช่นนี้ เนื่องจากอิทธิพลของภาษารัสเซีย อย่างไรก็ดี ยังมีคนพูดหรือเข้าใจภาษาโปแลนด์ในพื้นที่ชายแดนทางตะวันตกของยูเครน เบลารุส และลิทัวเนีย เป็นภาษาที่สองและคนอพยพจากประเทศโปแลนด์ที่อาศัยในพื้นที่ในประเทศต่างๆ เช่น ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อิสราเอล บราซิล แคนาดา สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ส่วนความยากนักคงเป็นที่ตัวอักษรที่ยากต่อความเข้าใจและการนำไปใช้ที่ยุ่ง ยากพอสมคว
อันดับที่ 3 Chinese
แน่ นอนว่าภาษาจีนเป็นอีกภาษาที่ยากที่สุดในโลก หากแต่กระนั้นมันมีความสำคัญต่อโลกเหมือนกันเพราะประชากรประมาณ 1/5 ของโลกพูดภาษาจีนแบบใดแบบหนึ่งเป็นภาษาแม่ ทำให้เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุด (สำเนียงพูดที่ถือเป็นมาตรฐาน คือ สำเนียงปักกิ่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มภาษาแมนดาริน)และเป็นหนึ่งใน 6 ภาษาที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติ (ร่วมกับ ภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน) แน่นอนความยากของภาษาจีนนั้นก็คือออกเสียงยาก เขียนยากอีกทั้งมันมีหลายแบบ หลายสำเนียง เช่น จีนกลาง, จีนกวางตุ้ง แถมอักษรยังมีสองแบบคืออักษรจีนตัวเต็ม และ อักษรจีนตัวย่อ
อันดับที่ 2 Hungarian
ภาษา ฮังการี เป็นภาษากลุ่มฟินโน-อูกริกที่พูดในประเทศฮังการีและในประเทศเพื่อน บ้านคือ โรมาเนีย สโลวาเกีย ยูเครน เซอร์เบีย มอนเตเนโกร โครเอเชีย ออสเตรีย และสโลวีเนีย (ทั้งหมดเป็นประเทศที่ฮังการีได้สูญเสียดินแดนให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) มีคนพูดภาษาฮังการีประมาณ 14.5 ล้านคน มี 10 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในฮังการี และมีชนพื้นเมืองฮังการี ประมาณ 1,434,377 คนที่อาศัยอยู่ในโรมาเนีย โดยมีประชากรชนกลุ่มน้อยมากที่สุดในพื้นที่ทรานซิลเวเนียของโรมาเนีย
อันดับที่ 1 Basque



ภาษา บาสก์ เป็นภาษาที่พูดโดยชาวบาสก์ซึ่งอาศัยอยู่แถบเทือกเขาพีเรนีสในตอนกลาง ของภาคเหนือของประเทศสเปน รวมทั้งในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสที่มีอาณาเขตติดต่อกัน หรือลึกลงไปกว่านั้นคือ ชาวบาสก์ได้ครอบครองแคว้นปกครองตนเองที่มีชื่อว่าแคว้นปกครองตนเองบาสก์ (Basque Country autonomous community) ซึ่งมีวัฒนธรรมและอิสระในการปกครองตนเองทางการเมือง นอกจากนี้ก็ยังมีชาวบาสก์ที่อยู่ในเขตนอร์เทิร์นบาสก์ในฝรั่งเศสและแคว้น ปกครองตนเองนาวาร์ในสเปนอีกด้วย ชื่อเรียกภาษาบาสก์อย่างเป็นทางการ (ในภาษาตนเอง) คือ เออุสการา (euskara) ส่วนในรูปภาษาถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ เออุสเกรา (euskera) เอสกูอารา (eskuara) และ อุสการา (üskara) แม้ว่าในทางภูมิศาสตร์จะถูกล้อมรอบด้วยภาษาในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน แต่ภาษาบาสก์กลับจัดเป็นภาษาโดดเดี่ยว (language isolate) ไม่ใช่ภาษาในตระกูลดังกล่าว

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับโลโก้บริษัทหนัง

20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา



เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
บางครั้ง.. ความสุขของเราก็เป็นที่มาของรอยยิ้ม
แต่ในบางครั้ง.. รอยยิ้มของเราก็เป็นที่มาของความสุข

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
ถ้าคุณไม่แน่ใจตัวเอง คุณก็จะไม่แน่ใจกับทุกสิ่งที่คุณพบเจอ
ถ้าคุณตัดสินตัวเอง คุณก็จะพบเจอคำตัดสินไปทุกๆ ที่ แต่ถ้าคุณฟังเสียงของตัวเอง
คุณจะสามารถเอาชนะความไม่แน่ใจและคำตัดสินเหล่านั้นได้ และคุณจะมองเห็นมันตลอดไป

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
เหตุผลของกาลเวลาที่หมุนไปมีอย่างเดียว
ก็คือทุกๆ อย่างไม่ได้เกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
มี "เวลา" สำหรับการออกเดินทางเสมอ
แม้ว่าจะไม่มี "จุดหมาย" ที่แน่นอนเลยก็ตาม

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
โลกใบนี้เปรียบเหมือนหนังสือเล่มใหญ่ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยออกเดินทาง
คงไม่ต่างอะไรกับคนที่อ่านหนังสือไปแค่หน้าเดียว

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
จงให้ความสำคัญที่การออกเดินทาง ไม่ใช่จุดหมาย
เพราะความสนุกไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เราถึงที่หมาย
แต่มันเกิดขึ้นระหว่างที่เราเดินทางต่างหาก

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
โชคดีแค่ไหนที่ใครหลายคนได้มองเห็นความงดงาที่ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ธรรมดาๆ
ซึ่งเป็นความงดงาม.. ที่คนอื่นมองไม่เห็น

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
ในการมีชีวิตที่สร้างสรรค์ คุณต้องกำจัดความกลัวออกไปให้หมด

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
ทุกครั้งที่คุณตัดสินใจ จักรวาลได้ตอบสนองให้สิ่งนั้นให้เกิดขึ้นกับคุณแล้ว

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
ยอมรับสิ่งที่ท้าทายคุณ แล้วคุณจะได้สัมผัสความสุขแห่งชัยชนะ

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
บางทีคนเรามักจะได้ทำในสิ่งที่หวาดกลัวที่จะทำเสมอ

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
ถ้าคนเรานั่งอยู่นอกบ้าน และมองดาวบนฟ้าในแต่ละคืน
ฉันเดาได้เลยว่า พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างแตกต่างกว่านี้มาก

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
อย่าคิดว่าคุณจะสอนตัวเองได้ด้วยตัวคุณเอง

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
คนที่เสี่ยงที่จะเดินทางไปไกลที่สุดเท่านั้น
ที่จะสามารถหาคำตอบได้ว่าคนเราไปได้ไกลแค่ไหน

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
ความฝันที่งดงามที่สุดเกิดขึ้นได้เมื่อคุณตื่น

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
ฉันมักจะคิดว่า กลางคืนมีชีวิตชีวาและมีสีสันมากกว่ากลางวัน

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
การทำดีกับทุกคนที่เราพบเจอให้ได้ คือการต่อสู้ที่แสนยากในชีวิต

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
ถ้าเราได้ยินเสียงในหัวใจตัวเองบอกว่า "คุณวาดรูปไม่ได้หรอก"
จงบอกตัวเองว่า "คุณทำมันได้" แล้วเสียงนั้นมันก็จะเงียบไป

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
คนเราจะสามารถเดินทางผ่านเส้นทางที่ยากที่สุดได้ด้วยการก้าวเดินช้าๆ ทีละก้าว
แต่อย่าหยุดเดิน

เด็กดีดอทคอม :: 20 ข้อความ เรียก “กำลังใจ” กลับมา
ผมไม่เชื่อว่าคนเราจะค้นหาความหมายของชีวิต
มากกว่าค้นหาประสบการณ์ของการมีชีวิต


4 สาเหตุที่ทำให้เด็กฝรั่ง(ส่วนมาก)เก่งกว่าเด็กไทย


เรียนในเรื่องที่จำเป็น
          ยกตัวอย่างวิชาเลขนี่แหละ ใกล้ตัวดี ถึงแม้เด็กไทยเก่งเลขกว่าเด็กฝรั่ง แข่งคณิตโอลิมปิกทีไรก็คว้าเหรียญรางวัลกลับมา แต่ถ้าคิดดีๆ มันมีสาเหตุ อย่างบ้านเราเนี่ยตอนม.ต้น ก็จะเรียนคูณร่วมน้อย หารร่วมมาก แก้สมการ ปริมาตรพื้นที่ผิว พาราโบลา บลาๆๆ คือเนื้อหาทั้งหมดเนี่ยเราอัดแน่นกันตั้งแต่ม.ต้น และพอมาม.ปลาย เราก็เรียนเมทริกซ์ ฟังก์ชันเอกซ์โพเนนเชียลและฟังก์ชันลอการิทึม ตรีโกณมิติ และอะไรอีกสารพัดที่แบบว่า เอ่อ จะยากไปไหน และอีกคำถามคือ เรียนแล้วเอาไปทำอะไร ????
          แต่ไม่ได้จะหมายความว่าการเรียนเลขไม่มีประโยชน์นะ แต่ในชีวิตจริง ส่วนมากเราก็ใช้แค่บวกลบคูณหารเท่านั้น ยังไม่เคยจะมานั่งหาพื้นที่ผิวกันซักทีถ้าไม่ได้เรียนวิศวะฯ หรือสถาปัตย์ฯ ดังนั้นเด็กฝรั่งเนี่ย เลขมัธยมต้นก็จะแบบชิลมาก ยังมานั่งบวกเลขกันอยู่เลย ส่วนม.ปลายก็เพิ่งเรียนแก้สมการเอง เพราะเค้าเน้นว่าเรียนเท่าที่จำเป็นใช้ในชีวิตประจำวันก็พอ
เด็กดีดอทคอม :: 4 สาเหตุที่ทำให้เด็กฝรั่ง(ส่วนมาก)เก่งกว่าเด็กไทย
เลือกเรียนเฉพาะวิชาที่ชอบ
          ระบบการศึกษาไทย ตอนมัธยมปลายเราสามารถเลือกได้ว่าเรียนสายวิทย์หรือสายศิลป์ อย่างพี่เรียนศิลป์ฝรั่งเศสค่ะ แต่ เอ่อ ... อาจารย์ เรียนศิลป์ฝรั่งเศสทำไมหนูต้องเรียนเลขด้วยล่ะ ไม่หมดแค่นั้น แถมต้องเรียนวิทย์กายภาพอีก โอ้แม่เจ้า คือตั้งใจมาเรียนสายศิลป์เพราะอยากหนีเลขกับวิทย์ แล้วจะยังตามมาหลอกหลอนกันทำไม TT แล้วถ้าเรียนภาษาฝรั่งเศสได้ 4 หมด แต่เลขได้ 1 จะทำยังไง ไม่ฉุดเกรดให้ลงเหวดิ่งลงนรกกันเหรอคะเนี่ยอาจารย์ เพื่อนบางคนได้เกรด 4 ฝรั่งเศส สังคม ภาษาไทย แต่ต้องมานั่งแก้ 0 วิทยาศาสตร์ กรรมจริงๆ
          หันมาดูการศึกษาในโลกตะวันตก ขอยกตัวอย่างที่อังกฤษกับระบบการเรียน A-Level ละกัน โดยระบบ A-Level เป็นช่วงการเรียน 2 ปีก่อนเข้ามหาวิทยาลัย โดยนักเรียนสามารถเลือกเรียนวิชาอะไรก็ได้ที่เปิดสอนในโรงเรียน แต่ควรดูด้วยว่า มหาวิทยาลัยที่เราอยากจะสมัครเข้าเรียนเค้ากำหนดว่าเราต้องผ่าน A-Level วิชาอะไรบ้าง เช่น อยากเรียนคณะรัฐศาสตร์ ก็เลือกเรียน A-Level วิชาปรัชญา วิชาการพัฒนาของโลก และก็วิชากฏหมาย เป็นต้น คือเรียนแต่สิ่งที่เราสนใจจริงๆ แบบจัดหนักไปเลย
          จะเห็นได้ว่า การศึกษาไทยเน้นให้เรารู้หลายๆ อย่าง (แต่สุดท้ายก็อาจไม่เก่งซักอย่าง) เหมือน"เป็ด" ที่บินได้แต่ก็ไม่เก่งเท่าไก่ ว่ายน้ำเก่งแต่ก็สู้ปลาไม่ได้ ส่วนเด็กฝรั่งเค้าจะเรียนแบบเจาะลึกในสิ่งที่สนใจจริงๆ ค่ะ อะไรที่ไม่สนใจเค้าก็ไม่เอาเลย เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น
เด็กดีดอทคอม :: 4 สาเหตุที่ทำให้เด็กฝรั่ง(ส่วนมาก)เก่งกว่าเด็กไทย
กิจกรรมชมรมคือสิ่งจำเป็น
          เชื่อว่าโรงเรียนของน้องๆ ต้องมีชมรมหรือคลับต่างๆ เปิดอยู่ใช่มั้ย แต่พี่มั่นใจมากๆ ว่า สมมติมีชมรมอยู่ 20 ชมรม แต่ชมรมที่เอาจริงเอาจัง ทำกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอมีไม่ถึง 10 ชมรมแน่ๆ อย่างตอน พี่เรียนเนี่ย บางชมรมตอนต้นเทอมเปิดรับสมาชิกกันใหญ่ แต่พอเปิดไปได้ซักสองเดือน อ่าว ชมรมหายไปไหน(ฟะ) ข่าวคราวเงียบหายไปสองสามปี นึกว่าไปได้ดี เฮ้อ
          จะโทษแต่ตัวชมรมก็ไม่ได้ว่าไม่ทำกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ แต่ตัวสมาชิกชมรมก็มีผลสำคัญเหมือนกันค่ะ คือวันๆ นึงเนี่ย เด็กไทยเรียนกันเยอะมากจริงๆ ตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงบ่ายสาม พอเรียนเสร็จเราก็ไม่อยากทำอะไรแล้วอะ ชมรมก็ขี้เกียจเข้า ขอกลับบ้านไปนอนดีกว่า ขืนเข้าชมรม กว่าจะได้กลับบ้านก็เย็น กว่าจะฝ่ารถติดถึงบ้านก็ค่ำ คือมันมีหลายๆ ปัจจัยที่ทำให้เราขี้เกียจเข้าชมรมนั่นเองค่ะ อีกอย่างคือ เข้าไปแล้วไง คะแนนพิเศษก็ไม่ได้ สรุปว่าไม่ได้อะไร มีแต่เสียเวลา
          แต่การเข้าชมรมถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับเด็กฝรั่ง กิจกรรมชมรมของเค้าคือแบบเอาจริงจังมาก เช่น ไปแข่งดนตรีข้างนอก ไปแข่งเต้นเชียร์ลีดเดอร์กับโรงเรียนอื่น ซ้อมกันเอาเป็นเอาตาย ใครไม่มาซ้อมนี่ถูกเหยียดหยามกันเลยทีเดียว แต่ถ้ามองดีๆ สภาพแวดล้อมรอบด้านของเด็กฝรั่งก็เป็นปัจจัยให้เค้าอยากเข้าชมรมเหมือนกันค่ะ คือเด็กฝรั่งจะเรียนเลิกไว เต็มที่คือบ่ายสอง พอเลิกแล้ว จะไปไหนต่อ ??? กลับบ้านไปก็ไม่มีอะไรทำ รถก็ไม่ค่อยติด งั้นเข้าชมรมก็แล้วกัน หาอะไรทำแก้เซ็ง
เด็กดีดอทคอม :: 4 สาเหตุที่ทำให้เด็กฝรั่ง(ส่วนมาก)เก่งกว่าเด็กไทย
วิธีการเรียนแบบท่องจำเป็นนกขุนทอง
          เด็กไทยเราชินกับการเรียนแบบท่องจำมากๆ เท่าที่จำความได้เราก็ท่องสูตรคูณกันมาตั้งแต่เด็กๆ พอโตมาก็มีให้ท่องกลอนพระอภัยมณีแล้วไปสอบท่องกับอาจารย์ 5555 พอท่องเสร็จก็ลืม ไม่ได้เอาไปทำอะไรเลย หลายๆ คนคงแอบบ่น ให้ท่องไปทำไมกันนะ ...
          หรือในเวลาสอบ เราก็จะเน้นท่องจำเพื่อเอาคำตอบนั้นไปเขียน ดังนั้นหากเราเจอคำถามในข้อสอบที่ถามอะไรตรงตัวเป๊ะๆ เราจะดีใจกันมาก เพราะท่องมาดีสุดๆ เขียนตอบตามนั้นตรงตัวไปเลย แต่สำหรับเด็กฝรั่ง วิธีการเรียนของเค้าไม่เน้นท่องจำ แต่จะเน้นวิธีที่เรียกว่า Critical Thinking คือเน้นการคิดวิเคราะห์ตั้งแต่เด็กๆ ส่วนเด็กไทยกว่าจะได้เรียนแบบ Critical Thinking ก็ต้องรอเข้าระดับมหาวิทยาลัยนั่นแหละ
เด็กดีดอทคอม :: 4 สาเหตุที่ทำให้เด็กฝรั่ง(ส่วนมาก)เก่งกว่าเด็กไทย
       คำถามแบบท่องจำ : จงอธิบายแนวคิดและความหมายเรื่องระบบทุนนิยมของคาร์ล มาร์กซ์
          คำถามแบบ Critical Thinking : จงวิเคราะห์เหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงโดยใช้แนวคิดระบบทุนนิยมของคาร์ล มาร์กซ์

การสร้างโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล : ER-DIAGRAM


แนวคิดเกี่ยวกับ ER-DIAGRAM 
ER-DIAGRAM ประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐานดังนี้
  • เอนทิตี้ (Entity) เป็นวัตถุ หรือสิ่งของที่เราสนใจในระบบงานนั้น ๆ
  • แอททริบิว (Attribute) เป็นคุณสมบัติของวัตถุที่เราสนใจ
  • ความสัมพันธ์ (Relationship) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้
เอนทิตี้ (Entity)
                เอนทิตี้  หมายถึง สิ่งของหรือวัตถุที่เราสนใจ ซึ่งอาจจับต้องได้และเป็นได้ทั้งนามธรรม โดยทั่วไป เอนทิตี้จะมีลักษณะที่แยกออกจากกันไป เช่น เอนทิตี้พนักงาน จะแยกออกเป็นของพนักงานเลย เอนทิตี้เงินเดือนของพนักงานคนหนึ่งก็อาจเป็นเอนทิตี้หนึ่งในระบบของโรงงาน 
โดยทั่วไปแล้ว เอนทิตี้จะมีกลุ่มที่บอกคุณสมบัติที่บอกลักษณะของเอนทิตี้ เช่น พนักงานมีรหัส ชื่อ นามสกุล และแผนก โดยจะมีค่าของคุณสมบัติบางกลุ่มที่ทำให้สามารถแยกเอนทิตี้ออกจากเอนทิตี้อื่นได้ เช่น รหัสพนักงานที่จะไม่มีพนักงานคนไหนใช้ซ้ำกันเลย เราเรียกค่าวของคุณสมบัติกลุ่มนี้ว่าเป็นคีย์ของเอนทิตี้
รูปสัญลักษณ์ของเอนทิตี้ คือ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวอย่างเช่น 

แอททริบิวท์ (Attribute)  
Attribute คือ คุณสมบัติของวัตถุหรือสิ่งของที่เราสนใจ โดยอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของเอนทิตี้ โดยคุณสมบัตินี้มีอยู่ในทุกเอนทิตี้ เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ แผนก เป็น Attribute ของเอนทิตี้พนักงาน
โดยทั่วไปแล้วโมเดลข้อมูล เรามักจะพบว่า Attribute มีลักษณะข้อมูลพื้นฐานอยู่โดยที่ไม่ต้องมีคำอธิบายมากมาย และ Attribute ก็ไม่สามารถอยู่แบบโดด ๆ ได้โดยที่ไม่มีเอนทิตี้หรือความสัมพันธ์
รูปสัญลักษณ์ของ Attribute คือ รูปวงรีโดยที่จะมีเส้นเชื่อมต่อกับเอนทิตี้ ตัวอย่างเช่น
ชนิดของ Attribute สามารถแบ่งออกได้หลายลักษณะดังนี้
Simple และ Composite
  • Simple Attribute คือ Attribute ที่ไม่สามารถแยกออกเป็นส่วนย่อยได้เช่น รหัส
  • Composite Attribute คือ Attribute ที่สามารถแยกออกเป็นส่วนย่อยได้เช่น ชื่อ อาจจะประกอบด้วยชื่อต้น และชื่อสกุล เป็นต้น โดยยกตัวอย่างเช่น
Single – valued และ Multi – valued attribute
  • Single – valued คือ ค่าของเอนทิตี้ที่สามารถมีได้แค่ค่าเดียว เช่น วันเกิด สำหรับพนักงานแล้วสามารถมีได้เพียงค่าเดียว จึงให้สัญลักษณ์ของ Attribute ปกติ
  • Multi – valued คือ ค่าที่เป็นไปได้มากกว่า 1 ค่า เช่น ทำเลที่ตั้งของโรงงานสามารถมีได้มากกว่า 1 แห่ง
  • รูปสัญลักษณ์ที่ใช้จะเป็นรูปวงรีซ้อนกัน 2 รูป โดยจะยกตัวอย่างเช่น
 
Stored และ Derived attribute
  • Stored Attribute จะเป็น Attribute ที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูล เช่น วันเกิด ใช้สัญลักษณ์ปกติ
  • Derived Attribute เป็น Attribute ที่เกิดจากการคำนวณ เช่น อายุ เกิดจากการคำนวณวันเกิดกับช่วงเวลาปัจจุบัน
  • รูปสัญลักษณ์ คือ รูปวงรีมีเส้นประรอบ ๆ โดยจะยกตัวอย่าง เช่น
ความสัมพันธ์ (Relationship) 
เอนทิตี้แต่จะต้องมีความสัมพันธ์ร่วมกัน โดยจะมีชื่อแสดงความสัมพันธ์ร่วมกันซึ่งจะใช้รูปภาพสัญลักษณ์สี่เหลี่ยมรูปว่าวแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิต
ี้และระบุชื่อความสัมพันธ์ลงในสี่เหลี่ยม ดังตัวอย่างเช่น รูปนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้อาจารย์กับกลุ่มเรียน
        ระดับชั้นของความสัมพันธ์ (Relationships Degree) จะบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ มีดังนี้
  • ความสัมพันธ์เอนทิตี้เดียว (Unary Relationships) หมายถึง เอนทิตี้หนึ่ง ๆ จะมีความสัมพันธ์กับตัวมันเอง
  • ความสัมพันธ์สองเอนทิตี้ (Binary Relationships) หมายถึง เอนทิตี้สองเอนทิตี้จะมีความสัมพันธ์กัน
  • ความสัมพันธ์สามเอนทิตี้(Ternary Relationships) หมายถึง เอนทิตี้สามเอนทิตี้มีความสัมพันธ์กัน


ภาพที่ 10.1 แสดงตัวอย่างของระดับชั้นของข้อความ
การระบุตำแหน่งความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ (Connectivity) 
การระบุตำแหน่งความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้ (Connectivity) ว่าเป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One to One Relationships) , แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One to Many Relationships) หรือ แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (Many to Many Relationships) นั้นจะใช้ Connectivity เพื่อระบุตำแหน่ง 1, M หรือ N ไว้ข้างใดของเอนทิตี้
ภาพที่ 10.2 แสดงความสัมพันธ์แบบ One to One Relationships
จากตัวอย่างนี้ จะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับสัญญาเงินกู้ โดยที่นักศึกษาหนึ่งคนทำสัญญาเงินกู้ได้เพียงครั้งเดียว สัญญาการกู้เงินแต่ละฉบับถูกลงชื่อกู้ได้จากหนักศึกษาเพียงคนเดียวเท่านั้น ความสัมพันธ์การกู้เงินที่เชื่อมระหว่างนักศึกษาและสัญญากู้เงินจึงเป็นแบบ 1-1 
ภาพที่ 10.3 แสดงความสัมพันธ์แบบ One to Many Relationships
                จากตัวอย่างนี้ จะประกอบด้วยเอนทิตี้อาจารย์กับเอนทิตี้กลุ่มเรียน มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม หมายความว่า อาจารย์จะสอนได้หลายกลุ่มเรียน แต่ละกลุ่มเรียนจะมีอาจารย์สอนได้เพียงคนเดียวไว้ด้านเอนทิตี้อาจารย์และตัวอักษร M ไว้ด้านเอนทิตี้กลุ่มเรียน
     
ภาพที่ 10.4 แสดงความสัมพันธ์แบบ Many to Many Relationships
                    จากตัวอย่างนี้ ประกอบด้วยเอนทิตี้นักเรียนกับเอนทิตี้วิชาเรียน โดยที่นักศึกษาแต่ละคนลงทะเบียนเรียนวิชาได้มากกว่า 1 วิชา แต่ละวิชามีนักศึกษาได้มากกว่า 1 คน ความสัมพันธ์ขอลการลงทะเบียนของนักศึกษากับวิชาเป็นแบบ N: M
Keys
  • Super Key : Attribute หรือกลุ่มของ Attribute ซึ่งมีค่าแตกต่างกันไปในแต่ละเอนทิตี้ สามารถระบุเอนทิตี้เฉพาะตัวหนึ่ง ๆ ได้
  • Candidate Key : Subset ที่เล็กที่สุดของ Super Key ที่สามารถระบุเฉพาะเอนทิตี้นั้นได้
  • Primary Key : Candidate Key ที่ถูกเลือกให้เป็นตัวระบุหรือ Identity เอนทิตี้เฉพาะตัว
Strong VS Weak Entity Sets
บางครั้งเราอาจพบว่าเอนทิตี้ที่มี (Primary Key) ประกอบจาก Primary Key ของ Entity Set อื่น ๆนั่นคือ เอนทิตี้ไม่มี  Primary Key  หรือ Attribute เพียงพอในการสร้าง  Primary Key ได้ด้วยตนเองเราเรียกเอนทิตี้นี้ว่า Weak Entity Set ดังนั้น หากจะระบุถึงเอนทิตี้นี้ได้จะต้องผูกสัมพันธ์กับบางเอนทิตี้ผ่าน Primary Key เป็นของเอนทิตี้ที่สัมพันธ์กับ Weak Entity ที่มี Primary Key ว่าเป็น Strong Entity Set เราพบว่า Weak Entity นั้นจะต้องสัมพันธ์เกี่ยวข้องแบบ Total Participate กับ Strong Entity เสมอ
ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ของพนักงานและคนในอุปการะ โดยที่คนในอุปการะหนึ่งคนเกี่ยวข้องโดยตรงกับพนักงานหนึ่งคนเท่านั้น แต่พนักงานอาจไม่มีหรือมีมากว่าหนึ่งคนในอุปการะ ซึ่งเราจะพบว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Weak กับ Strong Entity จะเป็นแบบกลุ่มต่อหนึ่ง
ภาพที่ 10.5 แสดงความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อหนึ่ง
การแปลง E-R MODEL ให้อยู่ในรูปแบบโครงสร้างฐานข้อมูล
การแปลง E-R MODEL ให้อยู่ในรูปแบบโครงสร้างฐานข้อมูลหรือตารางของข้อมูลมีกฎดังนี้
1.แปลงเอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง  (One to One Relationships) ไปเป็นตาราง โดยแทนที่หนึ่งเอนทิตี้เป็นหนึ่งตาราง Attribute แต่ละเอนทิตี้เป็นฟิลด์หรือคอลัมน์แต่ละตาราง
2.แปลงเอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One to Many Relationships) ไปเป็นตาราง โดยด้านเอนทิตี้ที่เป็นตัวเลข 1 นั้นสามารถแปลงเป็นตารางได้ทันที Attribute ของเอนทิตี้นั้นจะเป็นฟิลด์ของตารางทันที ส่วนด้านเอนทิตี้ที่เป็นตัวอักษร M ให้แผลงเอนทิตี้เป็นตารางโดยมี Attribute ของเอนทิตี้ตัวมันเอง และนำคีย์หลักของเอนทิตี้ที่เป็นเลข 1 มาใส่ฟิลด์ของตารางนั้นด้วย
3.แปลงเอนทิตี้ที่มีความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม  (Many to Many Relationships) ไปเป็นตารางโดยสร้างเอนทิตี้กลาง (Composite Entity) เอนทิตี้กลางจะนำคีย์หลักของทั้งสองตารางมาเป็นคีย์หลักของเอนทิตี้กลางด้วย ส่วนเอนทิตี้ทั้งสองที่อยู่ระหว่างเอนทิตี้กลางก็แปลงเป็นตารางได้ โดยนำเอา Attribute ของแต่ละเอนทิตี้ไปเป็นฟิลด์ (ทำตามกฎของความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง)
   
ภาพที่ 10.6 ตัวอย่างของระบบซื้อขายรถยนต์
สัญลักษณ์
ความหมาย
สัญลักษณ์
ความหมาย
Entity set
Discriminator key attribute
Weak entity set
Composite attribute
Relationship set
Derived attribute
Identifying relationship set
Key attribute
Attribute
Multi valued attribute
ภาพที่ 10.7 แสดงสัญลักษณ์ของ E-RMODEL


คำศัพท์  บทที่ 10
การเริ่มต้นโครงการและการศึกษาเบื้องต้น
Entity
วัตถุ หรือวิ่งของที่ราสนใจ
Attribute
คุณสมบัติของวัตถุที่เราสนใจ
Relationship
ความสัมพันธ์ระหว่าง เอนทิตี้
Simple Attribute
Attribute ที่ไม่สามารถแยกออกเป็นส่วนย่อย
Composite Attribute
Attribute ที่สามารถแยกออกเป็นส่วนย่อย
Single-valued
ค่าของเอนทิตี้ที่สามารถมีได้แค่ค่าเดียว
Multi-valued
ค่าที่เป็นได้มากกว่า 1 ค่า
Stored Attribute
Attribute ที่เก็บอยู่ในฐานข้อมูล
Derived Attribute
Attribute ที่เกิดจากการคำนวณ
Relationships Degree
ระดับชั้นของความสัมพันธ์
Unary Relationships
ความสัมพันธ์เอนทิตี้เดียว
Binary Relationships
ความสัมพันธ์สองเอนทิตี้
Ternary Relationships
ความสัมพันธ์สามเอนทิตี้
Connectivity
การระบุความสัมพันธ์ระหว่างเอนทิตี้
One to One Relationships
ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
One to Many Relationships
ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม
Many to Many Relationships
ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม
Super Key
กลุ่มของ Attribute ซึ่งมีค่าแตกต่างกัน
Candidate Key
Subset ที่เล็กที่สุดของ Super Key
Primary Key
Candidate Key ที่ถูกเลือกให้เป็นตัวระบุ
Composite Entity
เอนทิตี้กลาง
Weak Entity
เอนทิตี้ที่ไม่มี Primary Key เป็นของตนเอง
Strong Entity
เอนทิตี้ที่มี Primary Key เป็นของตนเอง






http://itd.htc.ac.th/st_it50/it5016/nidz/Web_Analyse/unit10.html