GIS is a computerized database management system for capture, storage, retrieval, analysis, and display of spatial (locationally defined) data (NCGIA: National Center Geographic Information and Analysis ,1989)
GIS เป็นฐานข้อมูลการจัดการระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการจับภาพ, เก็บ, การดึง, การวิเคราะห์และการแสดงผลของข้อมูล (ตามที่กำหนดพื้นที่/สถานที่) เชิงพื้นที่และระบบข้อมูล มันสามารถใช้ในอาชีพที่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่มีการอ้างอิงเป็นสิ่งจำเป็นใด ๆ
21 มิ.ย. 2554
ระบบฐานข้อมูล
ฐานข้อมูล (Database)
ฐานข้อมูล หรือ Database ประกอบด้วยกลุ่มการจัดการข้อมูลสำหรับผู้ใช้หนึ่งคนหรือหลายๆ คน โดยทั่วไปมักอยู่ในรูปแบบดิจิทัล วิธีการแบ่งชนิดของฐานข้อมูลได้รูปแบบหนึ่งคือแบ่งตามชนิดของเนื้อหา เช่น บรรณานุกรม, เอกสารตัวอักษร, สถิติ โดยฐานข้อมูลดิจิทัลจะถูกจัดการโดยใช้ระบบจัดการฐานข้อมูล ซึ่งเก็บเนื้อหาฐานข้อมูล โดยอนุญาตให้สร้าง, ดูแลรักษา, ค้นหา และการเข้าถึงในรูปแบบอื่นๆ
การออกแบบฐานข้อมูล มีความสำคัญต่อการจัดการระบบฐานข้อมูล ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ภายในฐานข้อมูลจะต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์ของข้อมูล โครงสร้างของข้อมูลการเข้าถึงข้อมูลและกระบวนการที่โปรแกรมประยุกต์จะเรียกใช้ฐานข้อมูล ดังนั้น เราจึงสามารถแบ่งวิธีการสร้างฐานข้อมูลได้ 3 ประเภท
1. รูปแบบข้อมูลแบบลำดับขั้น หรือโครงสร้างแบบลำดับขั้น วิธีการสร้างฐาน ข้อมูลแบบลำดับขั้นถูกพัฒนาโดยบริษัท ไอบีเอ็ม จำกัด ในปี 1980 ได้รับความนิยมมาก ในการพัฒนาฐานข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยที่โครงสร้างข้อมูลจะสร้างรูปแบบเหมือนต้นไม้ โดยความสัมพันธ์เป็นแบบหนึ่งต่อหลาย (One- to -Many)
2. รูปแบบข้อมูลแบบเครือข่าย ฐานข้อมูลแบบเครือข่ายมีความคล้ายคลึงกับฐาน ข้อมูลแบบลำดับชั้น ต่างกันที่โครงสร้างแบบเครือข่าย อาจจะมีการติดต่อหลายต่อหนึ่ง (Many-to-one) หรือ หลายต่อหลาย (Many-to-many) กล่าวคือลูก (Child) อาจมีพ่อแม่ (Parent) มากกว่าหนึ่ง สำหรับตัวอย่างฐานข้อมูลแบบเครือข่ายให้ลองพิจารณาการจัดการข้อมูลของห้องสมุด ซึ่งรายการจะประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ที่อยู่ ประเภท
3. รูปแบบความสัมพันธ์ข้อมูล เป็นลักษณะการออกแบบฐานข้อมูลโดยจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางที่มีระบบคล้ายแฟ้ม โดยที่ข้อมูลแต่ละแถว ของตารางจะแทนเรคอร์ด ส่วน ข้อมูลนแนวดิ่งจะแทนคอลัมน์ ซึ่งเป็นขอบเขตของข้อมูล โดยที่ตารางแต่ละตารางที่สร้างขึ้นจะเป็นอิสระ ดังนั้นผู้ออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมีการวางแผนถึงตารางข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ เช่นระบบฐานข้อมูลบริษัทแห่งหนึ่ง ประกอบด้วย ตารางประวัติพนักงาน ตารางแผนกและตารางข้อมูลโครงการ แสดงประวัติพนักงาน ตารางแผนก และตารางข้อมูลโครงการ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5
ระบบจัดการฐานข้อมูล
(Database Management System)
ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System) หรือที่เรียกว่า ดีบีเอ็มเอส (DBMS) เป็นกลุ่มโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในระบบติดต่อระหว่างผู้ใช้กับฐานข้อมูล เพื่อจัดการและควบคุมความถูกต้อง ความซ้ำซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ ภายในฐานข้อมูล ซึ่งต่างจากระบบแฟ้มข้อมูลที่หน้าที่เหล่านี้จะเป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ในการติดต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูลไม่ว่าจะด้วยการใช้คำสั่งในกลุ่ม DML หรือ DDL หรือจะด้วยโปรแกรมต่างๆ ทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับข้อมูลจะถูกดีบีเอ็มเอสนำมาแปล (คอมไพล์) เป็นการปฏิบัติการ (Operation) ต่างๆ ภายใต้คำสั่งนั้นๆ เพื่อนำไปกระทำกับตัวข้อมูลภายในฐานข้อมูลต่อไป สำหรับส่วนการทำงานตางๆ ภายในดีบีเอ็มเอสที่ทำหน้าที่แปลคำสั่งไปเป็นการปฏิบัติการต่างๆ กับข้อมูลนั้น ประกอบด้วยส่วนการปฏิบัติการดังนี้
หน้าที่ของระบบจัดการฐานข้อมูล
§ แปลงคำสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล ให้อยู่ในรูปแบบที่ฐานข้อมูลเข้าใจ
§ นำคำสั่งต่าง ๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้ว ไปสั่งให้ฐานข้อมูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ (Retrieve) จัดเก็บ (Update) ลบ (Delete) เพิ่มข้อมูล (Add) เป็นต้น
§ ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล โดยจะคอยตรวจสอบว่าคำสั่งใดที่สามารถทำงานได้ และคำสั่งใดที่ไม่สามารถทำงานได้
§ รักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
§ เก็บรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ในพจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า MetaData ซึ่งหมายถึง "ข้อมูลของข้อมูล"
§ ควบคุมให้ฐานข้อมูลทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
§ ควบคุมสถานะภาพของคอมพิวเตอร์ในการแปลสถาพฐานข้อมูล ส.ท
ระบบจัดการฐานข้อมูลที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- ต้องมีการใช้งานทรัพยากรของคอมพิวเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ
- ต้องมีความเร็วในการตอบคำถามที่ผู้ใช้ถามอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (โดยปกติมักจะหมายถึงตอบทันทีทันใด)
- ต้องมีความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และข้อมูลที่มีใช้งานอยู่เดิม เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแปลงให้เหลือน้อยที่สุด
- ต้องสามารถทำการเพิ่มหรือลบเรคคอร์ดของข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพรวมทั้งจะต้องยืดหยุ่นพอที่จะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนรูปแบบของข้อมูลในฐานข้อมูล
- ต้องให้ความสะดวกับผู้ใช้ในการเรียกใช้งานฐานข้อมูล เช่น มีภาษาในการสอบถามข้อมูล (query language) รวมอยู่ด้วย
- ต้องมีระบบรักษาความถูกต้องของข้อมูลโดยการสำรองข้อมูล รวมทั้งป้องกันผู้ใช้จากการทำงานผิดพลาดต่าง ๆ
- ต้องมีระบบรักษาความลับของข้อมูลในฐานข้อมูลนั้น เช่น มีคุณสมบัติการตรวจสอบ และรหัสพิเศษในการเข้าใช้งาน
16 มิ.ย. 2554
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย
ออกอากาศวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554
ออกอากาศวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554
13 มิ.ย. 2554
นิทานพื้นบ้านนานาชาติและความเชื่อเก่า ๆ แบบภูมิปัญญาชาวบ้าน เกี่ยวกับอุตุนิยมวิทยา
นิทานพื้นบ้าน
- ม้าจะวิ่งอย่างตื่นตระหนกก่อนที่จะมีลมพายุรุนแรงพัดมา
- หมูจะโกยเอาฟาง ใบไม้และกิ่งไม้มารวมกันไว้ก่อนจะมีพายุกระหน่ำ
- ดอกไม้จะหุบลงก่อนหน้าพายุจะเกิด
- ถ้าเห็นวัวจ่าฝูงนำหน้าลูกฝูงออกไปหากินกลางทุ่ง แสดงว่าจะมีฝนตกในไม่ช้า
แต่ถ้าเห็นลูกฝูงเดินนำหน้าจ่าฝูง อากาศจะเอาแน่นอนไม่ได้ - อาจมีฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรง ถ้าคุณเห็นสุนัขกินหญ้า
(เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นเกือบทุกครั้ง ก่อนที่จะมีพายุทอร์นาโดอย่างรุนแรงขึ้น) - หมาป่าจะหอนอย่างต่อเนื่องมากขึ้น ก่อนเกิดพายุ
- ฝูงมดจะง่วนอยู่ทั้งวัน ฝูงริ้นจะรุมตอมกัด จิ้งหรีดจะกรีดร้องดังขึ้น
แมงมุมจะไต่ลงจากรัง แมลงวันจะออกันอยู่แต่ในบ้าน ก่อนพายุฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรง - อาทิตย์แดงฉานในยามเย็น เมฆหมอกสีเทาในยามเช้า เป็นสัญญานสำหรับวันอันสดใส
- เมฆหมอกสีเทาในยามเย็น อาทิตย์แดงฉานในยามเช้า เตรียมเอาหมวกเอาร่มไปด้วยก่อนออกจากบ้าน
- เมื่อเมฆก้อนเล็กเข้ารวมตัวกัน และหนามากขึ้น จะมีฝนตกในไม่ช้า
- ดอก Dandelion หุบก่อนฝนกระหน่ำ
- ถ้าใบไม้ในฤดูใบไม่ร่วง ค่อย ๆ ร่วงอย่างช้า ๆ ให้เตรียมตัวรับฤดูหนาวอันแสนนาน
- เมื่อใบไม้ควำกลับใบลง พยากรณ์ได้เลยว่าจะมีลมแรง และพายุกระหน่ำ
- นกร้องจ๊อกแจ๊กจอแจเมื่อฝนจะตก
- นกบินเกาะสายไฟบ่งชี้ว่าฝนจะตก
- ก่อนพายุกระหน่ำ วัวจะนอนลง และไม่ยอมออกไปทุ่ง
- เมื่อแมงมุมชักใยในตอนเที่ยง อากาศจะดีขึ้นในอีกไม่นาน
ถ้าแมลงหมาร่าสร้างรังในที่สูง ฤดูหนาวจะยาวนานและรุนแรง - ในตอนเย็นคุณบอกว่า "อากาศจะดี ท้องฟ้าจึงมีสีแดง"
และในตอนเช้า "จะมีฝนตกในวันนี้ถ้าท้องฟ้ามีสีแดง แลดูน่ากลัว" Matthew 16:2 - มันจะเป็นฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ และเต็มไปด้วยหิมะ ถ้า:
- กระรอกสะสมอาหารไว้จำนวนมาก
- ตัว Beaver สร้างรังมั่นคงแข็งแรงขึ้นกว่าปกติ
- ขนบนตัวหมีและม้าหนาเร็วขึ้นในตอนต้นฤดู
- กระดูกหน้าอกของไก่งวงที่ถูกเตรียมไว้ทำอาหารมีสีม่วงเข้ม - ฤดูร้อนที่รุนแรงแสดงว่าจะมีลมแรงในฤดูใบไม้ร่วง
- ในฤดูหนาวที่มีลมแรง จะมีฝนตกหนักในฤดูฝน
- ฤดูใบไม้ผลิที่มีฝนมาก หน้าร้อนนี้จะแล้งและร้อนจัด
- ฤดูร้อนที่แล้งและร้อนจัด ฤดูใบไม้ร่วงจะมีลมแรง
- เดือนที่เริ่มต้นดี มักจะมีอากาศเลวร้ายในปลายเดือน
- ถ้าอากาศอบอุ่นช่วงคริสมาส อากาศจะหนาวเหน็บในช่วงอีสเตอร์
- ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวในช่วงพายุฝน จะมีลูกเห็บตามมา
- ลมเปลี่ยนทิศตามเข็มนาฬิกา จะทำให้ท้องฟ้าโปร่ง
- ลมเปลี่ยนทิศทวนเข็มนาฬิกา พายุใกล้เข้ามาแล้ว
- เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วเห็นสุนัขกระโดดไปรอบ ๆ พร้อมทั้งตะกุยตะกาย เป็นสัญญานว่าจะมีลูกเห็บตก
- เมื่อสุนัขในบ้านมีท่าทางหงอย ๆ นอนยังกะป่วยเป็นอัมพฤกษ์ อาจมีฝนตกหนักมากถึง 5 ชั่วโมง
Tip & Trick ในการดูว่าอากาศมีความชื้นและอุณหภูมิเป็นอย่างไร
- ในการหาว่าอากาศมีความชื้นมากน้อยแค่ไหน ให้นำไม้บรทัดมาอันหนึ่ง ชูขึ้นไปในอากาศ ให้พาดไปกับแนวไอน้ำสีขาวที่พ่นออกมาจากส่วนท้ายของเครื่องบิน ให้แน่ใจว่าไม้บรรทัดอยู่ตรงจุดเริ่มต้น หรือปลายสุดของแนวไอพ่นนั้น หลังจากนั้น เลื่อนไม้บรรทัดไปตามแนวไอพ่นเพื่อวัดความยาวของมัน ทุก ๆ 12 นิ้ว
ตัวอย่าง เช่น: 12" + 12" + 12" + 12" = 48"
ดังนั้น จะได้ 12" จำนวน 4 ครั้ง (4 ฟุต) คูณด้วย 10 = 4x10 = 40 เป็นต้น
ถ้าแนวไอพ่นยาวเท่ากับ 58" ก็จะได้เป็น 12" + 12" + 12" + 12" + 6" = 54" (ปัดเศษที่เหลือ 4 นิ้วทิ้งไป หรือปัดขึ้นเป็น 60"ก็ได้)
ซึ่งคิดออกมาได้เป็น 4.5 (4 ฟุตครึ่ง) เมื่อคูณด้วย 10 = 45 นั่นคือ ความชื้นสัมพัทธ์ = 45% RH - วางผลของต้นสนไว้ข้างนอกบ้าน เราสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงของมันได้ว่า มันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เมื่อความชื้นเพิ่มขึ้น?
นั่นคือ มันจะหุบลงเมื่อมีอากาศชื้นเพื่อป้องกันเมล็ดของมัน.. - ใช้จิ้งหรีดเป็นเทอร์โมมิเตอร์ประจำบ้านได้อย่างดี!!
ในช่วงตอนเย็น เมื่อจิ้งหรีดอยู่ในพงหญ้าที่เย็น ให้นับจำนวนเสียงร้องจี๊ด ๆ ๆ ของมัน ภายในเวลา 14 วินาที คุณจะได้ค่าของอุณหภูมิอากาศของที่แห่งนั้น (อุณหภูมิอากาศอาจจะแตกต่างจากจุดที่คุณยืนอยู่บ้าง).. - ฤดูร้อนที่ร้อนระอุ เป็นเครื่องหมายบอกถึง ฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ, ฤดูฝนที่แห้งแล้ง เป็นเครื่องหมายบอกถึง ฝนจะตกเป็นบริเวณกว้างระหว่างช่วงฤดูร้อน
ฤดูใบไม้ร่วงที่ลมพัดแรง มักจะตามมาด้วยฤดูหนาวที่แสนสบาย - น้ำค้างแข็งครั้งแรกในฤดูใบไม้ร่วงจะเกิดขึ้นประมาณ 6 เดือน หลังจากพายุฟ้าคะนองครั้งแรกในฤดูฝน
- ดูลักษณะของหมีที่มีขนปกคลุม เพื่อพยากรณ์ฤดูหนาว...
ในนิทานพื้นบ้านจะกล่าวไว้ว่า ถ้าแถบสีน้ำตาลบนตัวหมี กว้างกว่าแถบสีดำ แสดงว่าฤดูหนาวนั้นจะยาวนาน และรุนแรง
Tip สำหรับคนปลูกต้นไม้ในบริเวณบ้าน..
- เป็นเกร็ดเล็กน้อยเมื่อท่านกำลังคิดจะรดน้ำในสวนของท่านสำหรับช่วงหน้าร้อนนี้!!! เพื่อเป็นการประหยัดเงินและเวลาของท่านครับ!!
เป็นการดีกว่าที่จะรดน้ำในช่วงเย็น แทนที่จะเป็นตอนบ่าย ๆ เพราะในวันที่อากาศร้อน ท่านจะเสียน้ำไปมากกว่า 50% เนื่องจากการระเหยของน้ำ ในขณะที่ดวงอาทิตย์อยู่ตรงเหนือศรีษะ!!
เช่นกัน บางครั้งเมื่อท่านรดน้ำในขณะที่ดวงอาทิตย์อยู่เหนือศรีษะของท่านนั้น มันจะเป็นการทำลายต้นไม้เหล่านั้นเสียมากกว่า เพราะน้ำจะร้อนขึ้น แต่สิ่งเลวร้ายเกี่ยวกับการรดน้ำในตอนเย็นก็คือ เมื่อดวงอาทิตย์ไม่มี น้ำก็จะระเหยได้ช้า ดังนั้นจึงทำให้มีน้ำเหลือค้างบนพื้นหญ้าตลอดคืน และโรคราน้ำค้างอาจเกิดขึ้น และทำลายต้นไม้ของท่านได้
Tip สำหรับการพยากรณ์อากาศ
ลองหาก้อนหินมาซักก้อนจากที่ไหนก็ได้ และวางมันไว้ซักแห่งตรงไหนก็ได้ เช่น ในลานบ้าน หรือในภาชนะอะไรซักอย่าง!
นั่นละสิ่งที่ท่านต้องเตรียม แล้วตอนนี้ท่านก็พร้อมที่จะพยากรณ์อากาศแล้ว!!!!!
แต่ถ้าท่านไม่ต้องการใช้ก้อนหิน หรือหาไม่ได้ ท่านก็สามารถใช้ม้า..ม้าที่ท่านเลี้ยงไว้นะครับ ไม่ใช่ม้านั่งหรือแม่แก้วหน้าม้าคนข้างกาย แทนกันได้ครับ อะไรยากง่ายกว่ากันก็ลองดู...!!!
ลองหาก้อนหินมาซักก้อนจากที่ไหนก็ได้ และวางมันไว้ซักแห่งตรงไหนก็ได้ เช่น ในลานบ้าน หรือในภาชนะอะไรซักอย่าง!
นั่นละสิ่งที่ท่านต้องเตรียม แล้วตอนนี้ท่านก็พร้อมที่จะพยากรณ์อากาศแล้ว!!!!!
แต่ถ้าท่านไม่ต้องการใช้ก้อนหิน หรือหาไม่ได้ ท่านก็สามารถใช้ม้า..ม้าที่ท่านเลี้ยงไว้นะครับ ไม่ใช่ม้านั่งหรือแม่แก้วหน้าม้าคนข้างกาย แทนกันได้ครับ อะไรยากง่ายกว่ากันก็ลองดู...!!!
- ถ้าเห็นมันแห้งสนิท แสดงว่าอากาศดี
- แต่ถ้ามันเปียกชื้น แสดงว่าฝนกำลังตก
- ถ้ามันเป็นสีขาว แสดงว่ากำลังมีหิมะตก
- ถ้ามันหายไป..... แสดงว่ามีพายุใหญ่
ภูมิปัญญาชาวบ้านในการพยากรณ์อากาศระยะสั้น ๆ
- ถ้าห่านร้องเสียงแหลม หมายถึง สภาพอากาศดี
- ถ้าห่านร้องเสียงทุ้ม หมายถึง สภาพอากาศแย่
- นกต่าง ๆ บินต่ำ ๆ คาดว่าน่าจะมีฝนตก และลมพัดแรง
- ถ้านก lark บินขึ้นสูง คาดว่าอากาศจะดี
- เมื่อฝูงนกนางแอ่นบินขึ้นสูง และบินเล่นกันในอากาศ มันบอกเราได้ว่า ท้องฟ้าจะโปร่ง
- ห่านป่าจะบินสูงในอากาศที่สดใส และบินต่ำในเมื่ออากาศเลวร้าย
- ทุกอย่างจะสดใส เมื่อห่านร้องเสียงแหลม
- ถ้าเจ้าไก่ตัวผู้เกิดขันก่อนที่เราจะเข้านอน จะมีฝนตกกลางคืนและตอนเช้ามืด
- ถ้านกหากินกลางคืนร้อง แสดงว่าจะมีฝนตก
- เมื่อห่านร้องเอะอะ ฝนใกล้จะตก
- เมื่อเป็ดร้องเสียงดัง เป็นสัญญานว่าจะมีฝนตก
- เสียงร้องของนกเค้าแมวจะนำฝนมาด้วย
- ถ้านกกระจอกทำเสียงดังเอะอะ ฝนกำลังจะตามมา
- เมื่อนกแก้วทำเสียงผิวปาก คาดว่าฝนจะตก
- ปลาจะกินเหยื่อดีที่สุดช่วงก่อนฝนตก
- เมื่อปลากระโดดแถวผิวน้ำ และกินเหยื่ออย่างกระหาย ฝนจะตกในไม่ช้า
- เมื่อปลาโลมาออกมาเล่นคลื่น จะมีพายุเกิดขึ้น
- ปลาเทร้ากระโดดขึ้นสูง เมื่อฝนใกล้ตก
- ปูทะเลอพยพขึ้นบก และsrives on land to a roam.
- ฟองขาวเหนือพื้นน้ำที่เคยสงบเงียบ หมายถึงฝนที่กำลังมา
- หนองน้ำจะเปล่งแสงอันน่าขนลุกออกมาก่อนที่ฝนจะตก
- บ่อน้ำจะขุ่นดำก่อนพายุใหญ่
- จะมีคราบฟองน้ำลอยในแม่น้ำก่อนฝนจะตก
- เมื่อฟองอากาศลอยขึ้นมาบนผิวหน้ากาแฟ และรวมตัวเข้าด้วยกัน แสดงว่าอากาศดีกำลังมา แต่ถ้าฟองแตกออกจากกัน สภาพอากาศที่คุณไม่ต้องการกำลังจะเกิดขึ้น
- คนงานเหมืองใต้ดินสามารถได้กลิ่นของฝนที่กำลังผ่านมา
- เมื่อท้องร่องและบ่อน้ำส่งกลิ่นเหม็นออกมา ให้ระวังฝนตกหนักและพายุกระหน่ำ
- เมื่อน้ำเดือดเหือดหายไปหมดเร็วกว่าปกติมาก ให้ระวังฝนตก
- ถ้าทางเดินเท้ากลายเป็นสีแดงอย่างสนิมเหล็ก ฝนกำลังมา
- เมื่อกระจกขุ่นมัว ให้ระวังลมแรง เมื่อกระจกใสแจ่ม ถึงเวลาเล่นว่าว
- ในฤดูหนาว ถ้าบารอมิเตอร์ลดต่ำลงแสดงว่าหิมะจะตกหนัก และอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้น
- ถ้าเมฆเซอรัสเกิดขึ้นในสภาพอากาศที่บารอมิเตอร์ลดลง มั่นใจได้เลยว่าจะมีฝนตก
- พายุฟ้าคะนองในฤดูร้อนที่ไม่ทำให้บารอมิเตอร์ลดต่ำลง แสดงว่าเกิดขึ้นแค่บริเวณนั้น และจะเกิดขึ้นไม่นาน
- บ่อน้ำพุจะเริ่มพุ่งขึ้นมา ก่อนหน้าจะมีฝนตก
- Sap จากต้นเมเปิลจะไหลเร็วขึ้นมาก ก่อนเกิดฝนตก
- ระดับที่พุ่งสูงขึ้นของบ่อน้ำพุหรือในบ่อน้ำ แสดงว่ามีฝนตก
- น้ำพุในหลาย ๆ แห่งที่เหือดแห้ง จะกลับมีน้ำไหลดีอีกครั้งก่อนฝนตก
- บ่อน้ำจะมีเสียงดังปุด ๆ และขุ่นเป็นโคลน ก่อนจะมีพายุใหญ่
- เขม่าจะตกลงมา ก่อนที่ฝนจะตก
- ถ้าถ่านไฟที่กำลังลุกไหม้มีเปลวไฟติดก้นหม้อตลอด แสดงว่าจะมีพายุในไม่ช้า
- เปลวไฟที่ลุกไหม้มีสีซีดกว่าปกติ และมีเสียงดังพึบพับอยู่ข้างใน เป็นเครื่องหมายที่เด่นชัดของพายุ
- ไม้ที่กำลังลุกไหม้จะแตกปะทุมากขึ้น ก่อนฝนและหิมะจะมา
- ฝูงแมลงสาบจะดูกระตือรือล้นมากขึ้น ก่อนที่ฝนจะตก
- ตั๊กแตนจะส่งเสียงร้องเมื่ออากาศร้อนและแห้ง
- ดอกบัวดินจะบานออก แสดงว่าอากาศจะร้อน แต่ถ้ามันหุบแสดงว่าอากาศจะหนาว
- ดอกทิวลิปจะบานเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และจะหุบอีกครั้งเมื่ออุณหภูมิลดลง
- ดอกเดซี่จะหุบก่อนฝนตก
- ดอกไม้จำพวกยี่สุ่น ดาวเรืองจะบานประมาณ 6-7 โมงเช้า และจะไม่หุบจนถึง 4 โมงเย็น ซึ่งเราอาจจะใช้ในการประมาณลักษณะอากาศที่ไม่แปรปรวนได้
- เมื่อกล้องยาสูบมีกลิ่นแรงขึ้น แสดงว่าฝนใกล้ตก
- ถ้ากลิ่นหอมของดอกไม้ส่งกลิ่นได้แรงและไกลขึ้นอย่างผิดปกติ คงจะมีฝนตกในไม่ช้า
- ดอกไม้จะมีกลิ่นมากขึ้นก่อนฝนตก
- ถ้าสุนัขยกหางของมันสูงขึ้นในขณะเดิน อากาศกำลังจะมีการเปลี่ยนแปลง
- แมวจะตะกุยตะกายเสาก่อนมีลมแรง แมวจะล้างหน้าของมันก่อนมีฝนตก และจะนั่งหันหลังให้เตาผิงก่อนมีหิมะตก
- แมวจะแสดงอาการหางตั้งและขนลุกพองแสดงว่าลมแรงกำลังพัดมา
- เมื่อเห็นใยแมงมุมปลิวพริ้วลม แสดงว่าอากาศจะแห้งแล้งในไม่ช้า
- แมงมุมจะขยายและซ่อมแซมใยก่อนอากาศเลวร้าย
- ดวงอาทิตย์สีแดงดูฉ่ำน้ำ แสดงว่าอีกนานกว่าจะแล้ง
- ขณะดวงอาทิตย์ตกแลดูสว่างชัดเจน แสดงว่าเป็นลมฝ่ายตะวันออกซึ่งคุณไม่ต้องกังวลใด ๆ
- เมฆที่ปกคลุมส่วนยอดของดวงอาทิตย์ขณะกำลังตก บ่งชี้ถึงฝน
- เมื่อดวงอาทิตย์ตกพร้อมกับแสงสีแดงฉานปกคลุมท้องฟ้า เราจะได้พบกับพายุลมแรงในตอนเช้า
- แสงเงินแสงทองในยามเย็น สีเทาหมอกในยามเช้า เหล่าพิลกริมจะออกทำงาน
- ยามเย็นแสงส่องฟ้า ยามเช้าหมอกมัว หมู่นักเดินทางเริ่มออกเดิน
แต่ถ้าฟ้ามัวหม่นในยามเย็น ฟ้าแดงในยามเช้า เตรียมหมวกใส่หัวได้เลย - ถ้าดวงอาทิตย์ตกแดงฉานวันนี้ วันพรุ่งนี้จะมีฝน ถ้าตกแบบหม่นมัว พรุ่งนี้เป็นวันดี
- ยามเย็นสีเทา ยามเช้าเป็นสีแดง คนเลี้ยงแกะเตรียมแขวนคอตาย เมื่อผนังหินเปียกชื้น คะเนว่าจะมีฝน
- ถ้าแผ่นโลหะมัว จานชามกลับชื้น เป็นสัญญานของฝน
- หลุมบ่อบนผิวของก้อนหินและหินชนวน แสดงว่ามีการคายความชื้นออกมาจากตัวก้อนหิน
- เมื่อก้อนหินชื้นขึ้น แสดงว่าจะมีฝนตก
- ดวงจันทร์สีซีด ฝนตก ดวงจันทร์สีแดง ลมแรง
ดวงจันทร์สีขาว ไม่มีทั้งฝนทั้งลม - หน้าจันทร์ดั่งชาด หยาดฝนหล่นกระจาย
- วันไหนดวงจันทร์ขึ้นสุกสว่าง อากาศดี
- เมื่อคุณเห็นดวงจันทร์ขึ้นมามีสีแดง และดูเห็นเป็นดวงใหญ่ พร้อมกับมีเมฆปกคลุม มันกำลังบอกคุณว่าจะมีฝนตกภายใน 12 ชั่วโมงข้างหน้า
- ถ้าคุณเห็นดวงจันทร์เป็นเงามืดที่สุดตรงบริเวณขอบฟ้า ให้ระวังฝนไว้เถิด
- ถ้าเกลือในขวดของคุณจับตัวเป็นก้อนชื้น ๆ และมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ฝนจะตกในเวลาไม่นานเกินรอ
- เมื่อเนยแข็งรสเค็มของคุณอ่อนตัวลง จงระวังฝน
- ใบยาเส้นจะชื้นขึ้น ก่อนฝนตก
- พื้นขัดมันจะลื่นมากขึ้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเปียกปอนไปด้วยฝน
- ถ้ามีน้ำค้างเกาะยอดหญ้าในยามเช้า วันนั้นอากาศจะดี
- ถ้าคุณเห็นน้ำค้าง คุณจะไม่เห็นฝนผ่านมาเลย
- หมอกลอยขึ้นเหนือบึงน้ำ พรุ่งนี้อากาศจะดี
- พระจันทร์ชัดแจ๋ว อากาศหนาวจะมาเยือน
- เมื่อพืชจำพวกมอสบนภูเขาอ่อนนุ่มและดูสดใส ฝนคงตกในไม่ช้า
- เมื่อต้นข้าวโพดยืนต้นแห้งตาย ออกไปตากอากาศได้เลย ไม่ต้องเสี่ยงกับฝนฟ้า
- บานประตูและลิ้นชักจะฝืดขึ้น ก่อนฝนตก
- เชือกป่านที่มัดอยู่จะแน่นขึ้น แสดงว่าจะมีฝนตก แต่เมื่ออากาศดีขึ้นมันจะกลับหลวมอีกครั้ง
- ปมเชือกจะแน่นขึ้น เชือกป่านจะหดสั้นลง ก่อนฝนตก
- เมื่อกุญแจในบ้านแบบกระโจมหนังชื้นขึ้น ฝนตกแน่นอน
- สายกีต้าร์จะหดสั้นลงก่อนฝนตก
- ดอก Dandelion จะหุบก่อนฝนตก
- เมื่อต้นไม้หุบฝักของมัน คาดได้เลยว่าฝนจะตก
- ต้นไม้จำพวกที่มีใบห่อจะเปิดกว้างขึ้นก่อนฝนตก
- ต้นไมยราบหุบใบของมันก่อนฝนตก
- เมื่อต้นข้าวโพดยืนตายแห้ง เป็นหน้าแล้ง เมื่อต้นข้าวโพดยืนโยกเยก ฝนกำลังมา
- ถ้าควันจากปล่องลอยต่ำลงมาที่พื้น ทำท่าจะมีฝนตก
- ในบริเวณรอบกองไฟจะมีควันมากขึ้น ก่อนที่ฝนจะตก
- ควันจากโรงงานจะรบกวนมากยิ่งขึ้น เมื่อใกล้ฝนตก
- กบร้องก่อนฝนตก แต่จะเงียบสนิทอีกครั้งเมื่อยามหน้าแล้ง
- ถ้าคุณเห็นคางคกเพิ่มจำนวนมากขึ้น บอกได้เลยว่าใกล้ฝนเต็มที
- ถ้ากบร้องเซ็งแซ่ในช่วงวันฝนตกที่หนาวเหน็บ อากาศร้อนหน้าแล้งกำลังมา
- ถ้าไส้เดือนจำนวนมากปรากฏขึ้น ฝนจะตามมา
- ถ้าคุณเห็นเห็ดบางชนิดในตอนเช้า ฝนจะตกในตอนเย็น
- ถ้าคุณเห็นกบกระโดดข้ามถนน แสดงว่าพวกมันกำลังคอยฝน
- กิ่งไม้แห้งหักหล่นในอากาศที่เงียบสงบ แสดงว่าจะมีฝน
- ถ้าเห็นเมฆจำพวกเมฆก้อนลดน้อยลงในตอนเย็น พรุ่งนี้อากาศจะดีขึ้น
- ถ้าเห็นเมฆจำพวกเมฆก้อนโตขึ้นเรื่อย ๆ ทางด้านเหนือลมและมีลมแรงในเวลาพระอาทิตย์ตก ระวังฝนฟ้าคะนองในตอนกลางคืน
- ถ้าเห็นเมฆปุยคล้ายขนแกะแผ่กระจายในท้องฟ้า แน่ใจได้ว่าจะไม่มีฝนกลางฤดูร้อน
- เมื่อเห็นเมฆจมตัวลงบริเวณเชิงเขา อากาศจะแย่ลง เมื่อเห็นเมฆลอยตัวขึ้นเหนือภูเขา อากาศจะดีขึ้น
- หลังจากเมฆดำผ่านพ้น อากาศจะกลับดี
- ถ้าเห็นเมฆมาก แล้วกลับลดน้อยลง อากาศดีแน่นอน
- ยอดเมฆกลมมน มีฐานแบนราบ นำฝนมาด้วย
- เมื่อภูเขาและหน้าผาปกคลุมด้วยก้อนเมฆ ฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้น
- ถ้ามองไปที่ภูเขา เห็นยอดปกคลุมด้วยเมฆหนา ฝนจะตกใน 6 ชั่วโมง
- ถ้าเมฆก้อนโตสีขาว ในไม่ช้าทุ่งข้าวโพดจะถูกกระหน่ำด้วยสายฝน
- เมฆก้อนขาวบนฟ้าสีคราม น่ากลัวฝน
- พระอาทิตย์ยังส่อง ฝนอย่างมากแค่ครึ่งชั่วโมง
- เมฆก้อนเล็ก กลม ๆ มาพร้อมกับลมเหนือ อากาศดีอีกวัน
- เมฆยิ่งสูง อากาศยิ่งดี
- ควันยังลอยขึ้น แต่ไม่สูงมาก เมฆจะไม่ก่อตัว อากาศก็จะแล้ง
- เห็นเมฆเกล็ดปลา เมฆหางม้า ให้ลดใบ(เรือ)ลง
11 มิ.ย. 2554
ข้อมูลเชิงพื้นที่
ข้อมูลเชิงพื้นที่
Spatial Distribution การกระจายเชิงพื้นที่
เป็นการกระจายเชิงพื้นที่ การที่พื้นที่เิกิดการกระจุกตัวหรือกระจายตัวในบริเวณกว้างๆ ขึ้นอยู่กับพื้นที่นั้นๆว่าจะกระจายหรือกระจุกตัวในลักษณะอย่างไร เช่น การกระจายตัวของผู้ป่วยไข้เลือดออกในประเทศไทย
Spatial Differentiation ความแตกต่างเชิงพื้นที่
ในพื้นที่แต่ละที่ มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพทางกายภาพและชีวภาพ ทรัพยากรที่มีความหลาหลายแตกต่างกัน เช่น ความแตกต่างของลักษณะภูมิอากาศในประเทศไทย ภาคเหนือลักษณะอากาศเย็นและหนาวจัดในช่วงฤดูหนาวเมื่อเทียบกับภาคกลางที่มีอากาศเกือบร้อนในช่วงฤดูเดียวกัน เนื่องจากภาคเหนือมีภูเขาสูง แต่ภาคกลางส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม
Spatial Diffusion การแพร่กระจายเชิงพื้นที่
การแพร่กระจายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยมีการกระจายอย่างรวดเร็ว ต่างจากการกระจายเชิงพื้นที่ เช่น การกระจายของเชื้อ Escherichia coli หรือ E. coli (อี. โคไล) ที่กำลังดังมากในทวีปยุโรป ทั้งที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Spatial Interaction ความปฏิสัมพันธ์เชิงพื้นที่
เป็นการกระทำของสองสิ่งที่มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกัน เช่น บริเวณชุมชนที่ีมีประชากรหนาแน่นก็ควรมีร้านสะดวกซื้อไว้หลายๆแห่ง เพื่อรองรับผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ และควรตั้งอยู่ใกล้กับการจราจรสะดวก ไม่ใช่ไปตั้งอยู่ในซอยลึกๆ
Spatial Temporal ช่วงเวลาในพื้นที่
ช่วงเวลาในแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันออกไปในช่วงของการแบ่งเขตเวลา การกระทำหรือกิจกรรมที่ก็จะต่างกันออกไปตามช่วงเวลาของพื้นที่แต่ละส่วน เช่นการเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิโลกตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1961-2006
Spatial Distribution การกระจายเชิงพื้นที่
เป็นการกระจายเชิงพื้นที่ การที่พื้นที่เิกิดการกระจุกตัวหรือกระจายตัวในบริเวณกว้างๆ ขึ้นอยู่กับพื้นที่นั้นๆว่าจะกระจายหรือกระจุกตัวในลักษณะอย่างไร เช่น การกระจายตัวของผู้ป่วยไข้เลือดออกในประเทศไทย
Spatial Differentiation ความแตกต่างเชิงพื้นที่
ในพื้นที่แต่ละที่ มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพทางกายภาพและชีวภาพ ทรัพยากรที่มีความหลาหลายแตกต่างกัน เช่น ความแตกต่างของลักษณะภูมิอากาศในประเทศไทย ภาคเหนือลักษณะอากาศเย็นและหนาวจัดในช่วงฤดูหนาวเมื่อเทียบกับภาคกลางที่มีอากาศเกือบร้อนในช่วงฤดูเดียวกัน เนื่องจากภาคเหนือมีภูเขาสูง แต่ภาคกลางส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม
Spatial Diffusion การแพร่กระจายเชิงพื้นที่
การแพร่กระจายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยมีการกระจายอย่างรวดเร็ว ต่างจากการกระจายเชิงพื้นที่ เช่น การกระจายของเชื้อ Escherichia coli หรือ E. coli (อี. โคไล) ที่กำลังดังมากในทวีปยุโรป ทั้งที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Spatial Interaction ความปฏิสัมพันธ์เชิงพื้นที่
เป็นการกระทำของสองสิ่งที่มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกัน เช่น บริเวณชุมชนที่ีมีประชากรหนาแน่นก็ควรมีร้านสะดวกซื้อไว้หลายๆแห่ง เพื่อรองรับผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ และควรตั้งอยู่ใกล้กับการจราจรสะดวก ไม่ใช่ไปตั้งอยู่ในซอยลึกๆ
ช่วงเวลาในแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันออกไปในช่วงของการแบ่งเขตเวลา การกระทำหรือกิจกรรมที่ก็จะต่างกันออกไปตามช่วงเวลาของพื้นที่แต่ละส่วน เช่นการเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิโลกตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1961-2006
10 มิ.ย. 2554
9 มิ.ย. 2554
เขียนวิจารณ์หนังหรือเพลง
ภาพยนตร์:เรื่อง 2012 วันสิ้นโลก
ตัวอย่างภาพยนตร์
ภาพยนตร์เรื่อง 2012 เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับแนวหายนะของโลกนำไปสู่จุดจบของโลก เป็นรูปแบบของภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว สึนามิ ผู้คนที่รอดชีวิตต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด คนแต่ละคนก็ต่างเอาตัวรอดโดยบางทีก็ไม่นึกถึงผู้อื่น เมื่อถึงเวลาภัยมาถึงตัว คนเราจะแสดงออกถึงความเป้นมนุษย์หรือสัตว์ร้าย จะเอาตัวรอด หรือจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ จะกล้าหาญ หรือจะขลาดกลัว จะรับผิดชอบ หรือ จะเอาตัวรอด หนังเรื่องนี้ได้ฉายภาพธาตุแท้ของมนุษย์ออกมาให้ปรากฏ
ตัวอย่างประโยคจากภาพยนตร์
"พวกเราจะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ลูกหลานของเราฟังว่าอย่างไร ให้บอกว่าวาระสุดท้ายของมนุษยชาตินั้นรอดมาได้เพราะความเห็นแก่ตัว อย่างงั้นน่ะเหรอ?"
"เมื่อใดที่เราสูญเสียการให้โอกาสแล้ว เมื่อนั้นเราก็สูญเสียความเป็นมนุษย์"
"ที่ใดที่เราอยู่ร่วมกันพร้อมหน้า นั่นแหละที่เราเรียกว่าบ้าน"
วิจารณ์
ด้านเนื้อเรื่อง:
ทุกสิ่งที่สื่อออกมาผ่านเรื่องนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นจริงมากที่สุดคือ แผ่นดินไหวระดับสูงสุดถึง 10+ ริกเตอร์ ถึงขนาดแผ่นดินทั้งทวีปแตกสลาย แม็กม่าจะหลั่งไหลทะลักออกมา ณ อุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตนของอเมริกา เกิดการระเบิดไปกว้างไกลครึ่งโลก อีกทั้งทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูงเสียดฟ้าถึง 1500 กิโลเมตรทลายทุกอย่างให้หายไปในชั่วพริบตา มีการให้สถานที่สำคัญๆ เช่นมหาวิหารเซนปีเตอร์ อนุสวารีย์วอชิงตัน อนุสาวรีย์พระเยซูที่ริโอดีจาเนโร ถูกทำลายโดยฝีมือจากธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ในภาพยนตร์จะเล่าผ่านครอบครัวของ แจ็คสัน เคอร์ติส (Jackson Curtis แสดงโดย John Cusack) หนึ่งในหลายล้านชีวิตที่จำต้องเอาตัวรอดจากหายนะครั้งนี้ โดยไปยังทิเบตเพื่อขึ้นเรือที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลกว่า 46 ประเทศทั่วโลก แต่จริงๆแล้วทุกอย่างมันไม่ง่ายอย่างที่คิด...เพราะตั๋วขึ้นเรือมีราคาตั้ง 1 พันล้านยูโรด้านการแสดง:
ด้านเนื้อเรื่อง:
ทุกสิ่งที่สื่อออกมาผ่านเรื่องนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นจริงมากที่สุดคือ แผ่นดินไหวระดับสูงสุดถึง 10+ ริกเตอร์ ถึงขนาดแผ่นดินทั้งทวีปแตกสลาย แม็กม่าจะหลั่งไหลทะลักออกมา ณ อุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตนของอเมริกา เกิดการระเบิดไปกว้างไกลครึ่งโลก อีกทั้งทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูงเสียดฟ้าถึง 1500 กิโลเมตรทลายทุกอย่างให้หายไปในชั่วพริบตา มีการให้สถานที่สำคัญๆ เช่นมหาวิหารเซนปีเตอร์ อนุสวารีย์วอชิงตัน อนุสาวรีย์พระเยซูที่ริโอดีจาเนโร ถูกทำลายโดยฝีมือจากธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ในภาพยนตร์จะเล่าผ่านครอบครัวของ แจ็คสัน เคอร์ติส (Jackson Curtis แสดงโดย John Cusack) หนึ่งในหลายล้านชีวิตที่จำต้องเอาตัวรอดจากหายนะครั้งนี้ โดยไปยังทิเบตเพื่อขึ้นเรือที่ถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลกว่า 46 ประเทศทั่วโลก แต่จริงๆแล้วทุกอย่างมันไม่ง่ายอย่างที่คิด...เพราะตั๋วขึ้นเรือมีราคาตั้ง 1 พันล้านยูโรด้านการแสดง:
นักแสดงในเรื่องนี้แสดงได้ยอดเยี่ยมทุกคนจริงๆ เรื่องบทก็ถูกเขียนให้แสดงออกถึงอารมณ์ต่างๆในช่วงเวลาสุดท้ายหลายๆแบบของชีวิตได้อย่างสมจริง และยอดเยี่ยมที่สุด โดยเฉพาะตัวละครของเอเดรียน เฮมส์ลีย์ (Adrian Helmsley แสดงโดย Chiwetel Ejiofor) เพราะสามารถแก้ไขปัญหาอย่างใจเย็น ถึงจะโดนเถียง โดนด่าก็ตาม
ด้านดนตรี:
ในเรื่องนี้ทำเสียงประกอบเอ็ฟเฟ็กถล่มถลายที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ได้อย่างครบถ้วนทำให้ภาพเทคนิคที่ออกมาเข้ากันได้ดี แม้แต่องค์ประกอบเล็กๆน้อยๆเช่น เศษหิน น้ำกระจาย กระแทก การระเบิด กระจกแตก แผ่นดินแยก และอื่นๆอีกมากหมาย ส่วน End Credits ก็มีเพลง Time For Miracles ที่บรรเลงขึ้น เพื่อยกระดับอารมณ์ให้ประทับใจในตัวหนังได้ดียิ่งขึ้น
ด้านเทคนิคพิเศษ:
ส่วนนี้สำคัญต่อเรื่องนี้ที่สุดเพราะต้องสร้างเทคนิคที่มีสเกลใหญ่ระดับล้างโลกทั้งคลื่นสึนามิ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด รวมทั้งสิ่งของและสถานที่ต่างๆที่ถูกทำลายจำพวก บ้าน ต้นไหม้ รั้ว รถ และอื่นๆอีกมากหมาย ซึ่งทำออกมาได้สมจริงที่สุด ทำให้เกิดการปลูกฝังความคิดเกี่ยวกับประเด็นที่มีอยู่จริงๆให้แก่คนดูด้วยว่า "มีเวลาเหลือเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น คุณได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้วหรือยัง"
ในบางจุดที่เป็นฉากแอ็คชั่นถล่มถลายของสิ่งปลูกสร้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เวลาที่ผมดู รู้สึกอยากร้องไห้จริงๆ...
ด้านดนตรี:
ในเรื่องนี้ทำเสียงประกอบเอ็ฟเฟ็กถล่มถลายที่สร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ได้อย่างครบถ้วนทำให้ภาพเทคนิคที่ออกมาเข้ากันได้ดี แม้แต่องค์ประกอบเล็กๆน้อยๆเช่น เศษหิน น้ำกระจาย กระแทก การระเบิด กระจกแตก แผ่นดินแยก และอื่นๆอีกมากหมาย ส่วน End Credits ก็มีเพลง Time For Miracles ที่บรรเลงขึ้น เพื่อยกระดับอารมณ์ให้ประทับใจในตัวหนังได้ดียิ่งขึ้น
ด้านเทคนิคพิเศษ:
ส่วนนี้สำคัญต่อเรื่องนี้ที่สุดเพราะต้องสร้างเทคนิคที่มีสเกลใหญ่ระดับล้างโลกทั้งคลื่นสึนามิ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด รวมทั้งสิ่งของและสถานที่ต่างๆที่ถูกทำลายจำพวก บ้าน ต้นไหม้ รั้ว รถ และอื่นๆอีกมากหมาย ซึ่งทำออกมาได้สมจริงที่สุด ทำให้เกิดการปลูกฝังความคิดเกี่ยวกับประเด็นที่มีอยู่จริงๆให้แก่คนดูด้วยว่า "มีเวลาเหลือเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น คุณได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้วหรือยัง"
ในบางจุดที่เป็นฉากแอ็คชั่นถล่มถลายของสิ่งปลูกสร้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เวลาที่ผมดู รู้สึกอยากร้องไห้จริงๆ...
8 มิ.ย. 2554
การจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูล(Database Management) คือ การบริหารแหล่งข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อตอบสนองต่อการใช้ของโปรแกรมประยุกต์อย่างมีประสิทธิภาพและลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล รวมทั้งความขัดแย้งของข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในองค์การ ในอดีตการเก็บข้อมูลมักจะเป็นอิสระต่อกันไม่มีการเชื่อมโยงของข้อมูลเกิดการ สิ้นเปลืองพื้นที่ในการเก็บข้อมูล เช่น องค์การหนึ่งจะมีแฟ้มบุคคล (Personnel) แฟ้มเงินเดือน (Payroll) และแฟ้ม สวัสดิการ (Benefits) อยู่แยกจากกัน เวลาผู้บริหารต้องการข้อมูลของพนักงานท่านใดจำเป็นจะต้องเรียกดูแฟ้มข้อมูลทั้ง 3 แฟ้ม ซึ่งเป็นการไม่สะดวก จงทำให้เกิดแนวความคิดในการรวมแฟ้มข้อมูลทั้ง 3 เข้าด้วยกันแล้วเก็บไว้ที่ ศูนย์กลางในลักษณะฐานข้อมูล (Database) จึงทำให้เกิดระบบการจัดการฐานข้อมูล (Database Management system (DBMS) ซึ่งจะต้องอาศัยโปรแกรมเฉพาะในการสร้างและบำรุงรักษา (Create and Maintenance) ฐาน ข้อมูลและสามารถที่จะให้ผู้ใช้ประยุกต์ใช้กับธุรกิจส่วนตัวได้โดยการดึงข้อมูล (Retrieve) ขึ้นมาแล้วใช้โปรแกรมสำเร็จรูปอื่นสร้างงานขึ้นมาโดยใช้ข้อมูลทีมีอยู่ในฐานข้อมูล แสดงการรวมแฟ้มข้อมูล 3 แฟ้มเข้าด้วยกัน
การจัดการฐานข้อมูล(Database Management) คือ การบริหารแหล่งข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อตอบสนองต่อการใช้ของโปรแกรมประยุกต์อย่างมีประสิทธิภาพและลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล รวมทั้งความขัดแย้งของข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในองค์การ ในอดีตการเก็บข้อมูลมักจะเป็นอิสระต่อกันไม่มีการเชื่อมโยงของข้อมูลเกิดการ สิ้นเปลืองพื้นที่ในการเก็บข้อมูล เช่น องค์การหนึ่งจะมีแฟ้มบุคคล (Personnel) แฟ้มเงินเดือน (Payroll) และแฟ้ม สวัสดิการ (Benefits) อยู่แยกจากกัน เวลาผู้บริหารต้องการข้อมูลของพนักงานท่านใดจำเป็นจะต้องเรียกดูแฟ้มข้อมูลทั้ง 3 แฟ้ม ซึ่งเป็นการไม่สะดวก จงทำให้เกิดแนวความคิดในการรวมแฟ้มข้อมูลทั้ง 3 เข้าด้วยกันแล้วเก็บไว้ที่ ศูนย์กลางในลักษณะฐานข้อมูล (Database) จึงทำให้เกิดระบบการจัดการฐานข้อมูล (Database Management system (DBMS) ซึ่งจะต้องอาศัยโปรแกรมเฉพาะในการสร้างและบำรุงรักษา (Create and Maintenance) ฐาน ข้อมูลและสามารถที่จะให้ผู้ใช้ประยุกต์ใช้กับธุรกิจส่วนตัวได้โดยการดึงข้อมูล (Retrieve) ขึ้นมาแล้วใช้โปรแกรมสำเร็จรูปอื่นสร้างงานขึ้นมาโดยใช้ข้อมูลทีมีอยู่ในฐานข้อมูล แสดงการรวมแฟ้มข้อมูล 3 แฟ้มเข้าด้วยกัน
การประมวลผลในระบบสารสนเทศ
จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่าข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาใช้สร้างเป็นสารสนเทศนั้นอาจอยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูลหรือไฟล์หรืออาจอยู่ในรูปฐานข้อมูล ซึ่งการประมวลผลข้อมูลเพื่อสร้างระบบสารสนเทศนั้น ถ้าข้อมูลที่ถูกเก็บนั้นเป็นระบบแฟ้มข้อมูล เมื่อเปรียบเทียบกับระบบฐานข้อมูล จะพบว่าจะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ดังจะกล่าวในหัวข้อต่อไปนี้ระบบการประมวลผลแฟ้มข้อมูล
แรกเริ่มที่มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลข้อมูลทางธุรกิจ หรือเพื่อสร้างสารสนเทศนั้นจะมีการเก็บกลุ่มของระเบียนต่าง ๆ ไว้ในแฟ้มข้อมูลที่แยกจากกันและจะเรียกว่าเป็นระบบการประมวลผลแฟ้มข้อมูล ถึงแม้ว่าระบบการประมวลผลแฟ้มข้อมูลนี้จะเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าระบบที่ทำด้วยมือ แต่ระบบแฟ้มข้อมูลนี้ก็ยังมีข้อจำกัดหลายอย่างด้วยกัน
ข้อดีของการประมวลผลในระบบแฟ้มข้อมูล1.) การประมวลผลข้อมูลทำได้อย่างรวดเร็ว ค่าลงทุนในเบื้องต้นจะต่ำ อาจไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถมาก ก็สามารถทำการประมวลผลข้อมูลได้
2.) โปรแกรมประยุกต์แต่ละโปรแกรมสามารถควบคุมการใช้ข้อมูลในแฟ้มข้อมูลของตนเองได้
2.) โปรแกรมประยุกต์แต่ละโปรแกรมสามารถควบคุมการใช้ข้อมูลในแฟ้มข้อมูลของตนเองได้
ข้อเสียของการประมวลผลในระบบแฟ้มข้อมูล
การประมวลผลในระบบแฟ้มข้อมูล อาจมีข้อเสียที่เกิดขึ้นได้ ดังต่อไปนี้
1.) มีความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Redundancy) การใช้แฟ้มข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกันนี้ จะส่งผลให้เกิดข้อเสียในสิ่งต่อไปนี้
1.1) ทำให้เสียเนื้อที่ในการใช้งานในหน่วยเก็บข้อมูลสำรองเช่นดิสก์
1.2) ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในแฟ้มหนึ่งก็จะต้องตามไปแก้ไขข้อมูลในแฟ้มข้อมูลอื่นทุกแฟ้มที่มีข้อมูลนั้นอยู่ด้วยจึงอาจเกิดปัญหาที่เกี่ยวกับ ความขัดแย้งกันของข้อมูล (Data Inconsistency) เนื่องจากข้อมูลในแต่ละแฟ้มเกิดความไม่สอดคล้องกันขึ้น ซึ่งพบมากในระบบการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล
1.2) ความยากในการประมวลผลข้อมูลในแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มข้อมูล ในการสร้างรายงานของแต่ละระบบเช่นการสร้างรายงานการลงทะเบียน ว่าแต่ละวิชามีนักศึกษาคนใดบ้างที่ลงทะเบียนเรียน จะต้องมีการเขียนโปรแกรมประยุกต์เช่นโปรแกรมการลงทะเบียน เพื่อทำการดึงข้อมูลรหัสวิชา รหัสนักศึกษา จากแฟ้มข้อมูลการลงทะเบียน และต้องนำรหัสวิชาที่ได้ไปค้นชื่อวิชาและจำนวนหน่วยกิตที่มีรหัสวิชาตรงกันจากแฟ้มรายวิชา ส่วนรหัสนักศึกษาที่ได้ก็จะต้องนำไปค้นชื่อนักศึกษาที่มีรหัสตรงกันจากแฟ้มนักศึกษา ซึ่งโปรแกรมการลงทะเบียนที่เขียนจะต้องมีความซับซ้อนพอสมควร เนื่องจากต้องมีการจัดการกับแฟ้มข้อมูลมากกว่า 1 แฟ้มข้อมูลขึ้นไป
1.) มีความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Redundancy) การใช้แฟ้มข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกันนี้ จะส่งผลให้เกิดข้อเสียในสิ่งต่อไปนี้
1.1) ทำให้เสียเนื้อที่ในการใช้งานในหน่วยเก็บข้อมูลสำรองเช่นดิสก์
1.2) ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในแฟ้มหนึ่งก็จะต้องตามไปแก้ไขข้อมูลในแฟ้มข้อมูลอื่นทุกแฟ้มที่มีข้อมูลนั้นอยู่ด้วยจึงอาจเกิดปัญหาที่เกี่ยวกับ ความขัดแย้งกันของข้อมูล (Data Inconsistency) เนื่องจากข้อมูลในแต่ละแฟ้มเกิดความไม่สอดคล้องกันขึ้น ซึ่งพบมากในระบบการประมวลผลแบบแฟ้มข้อมูล
1.2) ความยากในการประมวลผลข้อมูลในแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มข้อมูล ในการสร้างรายงานของแต่ละระบบเช่นการสร้างรายงานการลงทะเบียน ว่าแต่ละวิชามีนักศึกษาคนใดบ้างที่ลงทะเบียนเรียน จะต้องมีการเขียนโปรแกรมประยุกต์เช่นโปรแกรมการลงทะเบียน เพื่อทำการดึงข้อมูลรหัสวิชา รหัสนักศึกษา จากแฟ้มข้อมูลการลงทะเบียน และต้องนำรหัสวิชาที่ได้ไปค้นชื่อวิชาและจำนวนหน่วยกิตที่มีรหัสวิชาตรงกันจากแฟ้มรายวิชา ส่วนรหัสนักศึกษาที่ได้ก็จะต้องนำไปค้นชื่อนักศึกษาที่มีรหัสตรงกันจากแฟ้มนักศึกษา ซึ่งโปรแกรมการลงทะเบียนที่เขียนจะต้องมีความซับซ้อนพอสมควร เนื่องจากต้องมีการจัดการกับแฟ้มข้อมูลมากกว่า 1 แฟ้มข้อมูลขึ้นไป
1.3) ไม่มีผู้ควบคุมหรือรับผิดชอบระบบทั้งหมด เนื่องจากผู้เขียนโปรแกรมด้านใดด้านหนึ่ง ก็จะดูแลเฉพาะข้อมูลที่จะมีการใช้กับงานของตนเท่านั้น
1.4) ความขึ้นต่อกัน (Dependency)โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลมักจะเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมประยุกต์ที่สร้างขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้ามีการเขียนโปรแกรมประยุกต์ด้วยภาษา COBOL โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลที่จะใช้เช่นชื่อเขตข้อมูลต่าง ๆ ขนาดของเขตข้อมูล จะต้องประกาศไว้ในส่วนของ DATA DIVISION ของโปรแกรมประยุกต์ ปัญหาก็คือว่าถ้ามีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของแฟ้มข้อมูลเมื่อใด ก็จะต้องไปทำการแก้ไขโปรแกรมประยุกต์ คือต้องไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแฟ้มข้อมูลในส่วน DATA DIVISION นั้นด้วย
จากข้อเสียดังกล่าวของการประมวลผลในระบบแฟ้มข้อมูล จึงเป็นที่มาของการพัฒนาระบบการประมวลผลแบบใหม่ เพื่อแก้ไขข้อเสียของการประมวลผลในระบบแฟ้มข้อมูล ซึ่งเรียกการประมวลผลแบบใหม่นี้ว่า "ระบบการประมวลผลฐานข้อมูล"
ระบบการประมวลผลฐานข้อมูล
จากข้อจำกัดของระบบการประมวลผลแฟ้มข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จึงมีความพยายามคิดหาเทคโนโลยีการประมวลผลแบบใหม่ เพื่อเอาชนะข้อจำกัดดังกล่าว เทคโนโลยีหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นมาแทนที่ระบบการประมวลผลแฟ้มข้อมูลได้แก่ ระบบการประมวลผลฐานข้อมูล
คำว่า ฐานข้อมูล โดยทั่วไปจะหมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันไว้ในที่ที่เดียวกันในระบบการประมวลผลฐานข้อมูลจะมีรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูลที่แตกต่างกันจากระบบแฟ้มข้อมูล มีองค์ประกอบเพิ่มขึ้นมาจากระบบการประมวลผลแฟ้มข้อมูลได้แก่องค์ประกอบที่เรียกว่า ระบบการจัดการฐานข้อมูล DBMS(Database Management System)
DBMS จะช่วยในการสร้าง เรียกใช้ข้อมูล และปรับปรุงฐานข้อมูล โดยจะทำหน้าที่เสมือนตัวกลางระหว่างผู้ใช้และฐานข้อมูลให้สามารถติดต่อกันได้
รูประบบการประมวลผลฐานข้อมูล
การทำงานที่ต้องผ่าน DBMS ทุกครั้งนี้จะทำให้การเขียนโปรแกรมประยุกต์มีความสะดวกยิ่งขึ้น เนื่องจากผู้เขียนโปรแกรมไม่ต้องยุ่งเกี่ยวหรือสนใจว่าในทางกายภาพข้อมูลถูกเก็บอยู่อย่างไรในดิสก์ หรือแม้แต่วิธีการในการจัดการกับข้อมูลไม่ต้องสนใจว่าใช้วิธีแบบอินเด็กซ์ไฟล์ (Index File) หรือแบบอินเด็กซ์ซีเควนเชียวไฟล์ (Index Sequential File) เป็นต้น ผู้ใช้เพียงแต่ออกคำสั่งง่าย ๆ ในการเรียกใช้ข้อมูล เพิ่มข้อมูล ปรับปรุงข้อมูล หรือ ลบข้อมูลผ่านทาง DBMS แทน
ข้อดีของการประมวลผลข้อมูลในฐานข้อมูล
1.) ข้อมูลมีการเก็บอยู่รวมกันและสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้2.) ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลได้3.) สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกันของข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้4.) การควบคุมความคงสภาพของข้อมูล ความคงสภาพ (Integrity) หมายถึง ความถูกต้อง ความคล้องจอง ความสมเหตุสมผลหรือความเชื่อถือได้ของข้อมูล
5.) การจัดการข้อมูลในฐานข้อมูลจะทำได้ง่าย
6.) ความเป็นอิสระระหว่างโปรแกรมประยุกต์และข้อมูล
7.) การมีผู้ควบคุมระบบเพียงคนเดียว ซึ่งเรียกว่า DBA (Database Administrator) เป็นผู้ควบคุมและบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลทั้งหมด
ข้อเสียของการประมวลผลข้อมูลในฐานข้อมูล
แม้ว่าการประมวลผลข้อมูลในฐานข้อมูล จะให้ข้อดีหลายประการแต่ก็จะมีข้อเสียอยู่บ้างเช่นกันในเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1.) การใช้งานฐานข้อมูลจะเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เนื่องจากราคา DBMS มีราคาค่อนข้างแพง นอกจากนี้การใช้ฐานข้อมูล จะต้องใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง เช่นต้องมีความเร็วสูง มีขนาดหน่วยความจำ และหน่วยเก็บข้อมูลสำรองความจุสูง เป็นต้น
2.) การสูญเสียของข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง เช่น Index Pointer เสียเป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)